ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

KPI คืออะไร




Key Performance Indicators (KPI) หรือ ดัชนีชี้วัดผลงาน เป็นเครื่องมือในการวัดผล “ความสำเร็จ” ของธุรกิจ องค์กร หรือแม้แต่ตัวพนักงานเอง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทหรือพนักงาน และสามารถวัดผลกิจกรรมว่าประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์แค่ไหน การประเมินผลจึงกลายมาเป็นกระบวนการสำคัญหนึ่งที่แต่ละองค์กรต่างก็นำมาใช้วัดความสำเร็จ ซึ่ง KPI เป็นการวัดผลที่ปัจจุบันได้รับความน่าเชื่อถือที่สุด
  • Key : หัวใจหลัก, เป้าหมายหลัก, กุญแจสำคัญของความสำเร็จ
  • Performance : ประสิทธิภาพ, ประสิทธิผล, ความสามารถในการทำงาน
  • Indicator : ดัชนีชี้วัด, ตัวชี้วัด

ประเภทของ KPI

1. การวัดผลทางตรง

ประเภทนี้จะแสดงผลออกมาโดยตรงอย่างชัดเจน ไม่ต้องตีความใดๆ ตัวเลขบ่งบอกค่าตามความเป็นจริง และมีหลักฐานตรวจสอบได้ มาตราวัดจะอยู่ในระดับ Ratio Scale แบบมาตราวัดอัตราส่วน อย่างเช่น น้ำหนัก ส่วนสูง จำนวนสินค้า เป็นต้น

2. การวัดผลทางอ้อม

ประเภทนี้จะไม่แสดงผลออกมาโดยตรงอย่างชัดเจน จะต้องวัดโดยผ่านกระบวนการทางสมองเพิ่มเติม เช่น การวัดทัศนคติ ความรู้ บุคลิกภาพ เป็นต้น เป็นการประเมินที่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละบุคคลด้วยเช่นกัน มาตราวัดจะอยู่ในระดับ Interval Scale หรือมาตรวัดอันตรภาค หรือมาตราวัดแบบช่วง ที่ประเมินตามความเห็นส่วนบุคคล ชั่งน้ำหนักในการให้คะแนนตามเกณฑ์ส่วนตัวที่แตกต่างกัน


KPI วัดได้หลายมุมมอง

1. Positive KPI

ดัชนีวัดความสำเร็จในเชิงบวก จะเป็นการกำหนดเกณฑ์การประเมิลผลในแง่ดีที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจ อาทิ ยอดขาย กำไร ความพึงพอใจของลูกค้า กำลังการผลิต เป็นต้น

2. Negative KPI

ดัชนีวัดความสำเร็จในเชิงลบ จะเป็นการกำหนดเกณฑ์การประเมินผลโดยใช้ข้อบกพร่อง ปัญหา จุดด้อย หรือเกณฑ์ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย มาเป็นบรรทัดฐาน อาทิ เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตที่ผิดพลาด เกณฑ์ลดอัตราการขาดทุนให้น้อยที่สุด เกณฑ์ลดความไม่พึงพอใจของลูกค้าให้ต่ำลง เป้าหมายในการกู้ยืมที่ต่ำลง เป็นต้น



แนวคิดที่นิยม สำหรับการนำมาตั้งเป้าหมายตลอดจนวัตถุประสงค์ใน KPI "SMART"


Specific – เฉพาะเจาะจง

การวัดผล KIP ที่ดีนั้นควรมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการวัดที่ชัดเจนและมีความเฉพาะเจาะจง บอกชัดเจนว่าต้องทำอะไร ต้องการอะไร อย่ามีขอบข่ายที่กว้างจนเกินไป เพราะจะทำให้การวัดผลไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร และเป็นข้อมูลที่อาจไม่มีประโยชน์ได้

ตัวอย่าง
เพิ่มลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติในไทยให้ได้ 30% ภายในระยะเวลา 1 ปี


Measurable – สามารถวัดได้

การวัดผล KPI ควรจะสามารถวัดได้ในทางสถิติ (มีการวัดผลเป็นตัวเลข) ได้ ซึ่งจะนำเอาข้อมูลนั้นมาเป็นเกณฑ์การตัดสินได้ชัดเจนกว่า

ตัวอย่าง
การวัด KPI จากยอดขายสินค้าของแต่ละคนภายในปีนี้


Achievable – บรรลุผลได้

เป้าหมายที่ตั้งจะต้องสามารถบรรลุผลได้จริง ไม่ตั้งจนเกินพอดี ไม่สมเหตุสมผล หรือไม่มีทางเป็นไปได้ ขณะเดียวกันก็ไม่ตั้งจนง่ายเกินไป อาจทำให้การวัดผลนั้นไร้ประโยชน์

✔ตัวอย่างที่สามารถบรรลุผลได้✔ 
เพิ่มผลกำไรจากกลุ่มลูกค้าใหม่ให้ได้ 30% ภายในระยะเวลา 1 ปี

✘ตัวอย่างที่สามารถบรรลุผลได้ยากจนเกินไป✘ 
หาลูกค้าเซนต์สัญญากับบริษัทให้ได้ 1 ล้านคน ภายใน 3 เดือน (ต้องเปรียบเทียบกับขนาดธุรกิจของบริษัทด้วย)

⚠ตัวอย่างที่สามารถบรรลุผลได้ง่ายจนเกินไป⚠ 
เพิ่มผลกำไรให้ได้ 5% ภายในระยะเวลา 1 ปี

 

Realistic – สมเหตุสมผล สอดคล้องสถานการณ์ความเป็นจริง

การตั้งเกณฑ์นั้นจำเป็นจะต้องดูตามสานการณ์ ตั้งให้สมเหตุสมผล และสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง คำนึงถึงสถานการณ์จริงให้มากที่สุด

✔ตัวอย่างที่สมเหตุสมผลสอดคล้องสถานการณ์ความเป็นจริง✔
ลดอัตราการขาดทุนต่ำลงจากปีที่แล้ว 10% ในภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอย

✘ตัวอย่างที่ไม่สมเหตุสมผลและไม่สอดคล้องสถานการณ์ความเป็นจริง✘
เพิ่มกำไรให้ได้ 70% จากปีที่แล้ว ภายใน 1 ปี ในขณะที่บริษัทมีแนวโน้มกำไรลดลงเรื่อยๆ ทุกปี\


Timely – กำหนดช่วงเวลาที่ชัดเจน

สิ่งสำคัญอย่างยิ่งของการวัดผลก็คือการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน มีระยะเวลาในการทำงานในกระบวนการต่างๆ เพื่อนำมาวัดผล หากไร้กรอบเวลาที่ชัดเจน การวางแผนก็จะล้มเหลวได้ และไม่มีแรงกระตุ้นที่ดีในการทำงานด้วย

ตัวอย่าง
เพิ่มยอดขายให้ได้ 30% จากปีที่แล้ว ภายในระยะเวลา 1 ปี





วิธีการกำหนดตัวชี้วัดหลักใน KPI


การที่ KPI จะมีประสิทธิภาพที่ดีหรือไม่นั้นส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการกำหนดตัวชี้วัดหลักที่มีส่วนสำคัญต่อการประเมินผลการปฎิบัติงานอย่างยิ่ง เพราะตัวชี้วัดนั้นจะเป็นเกณฑ์ตลอดจนมาตรฐานของการประเมินผลนั่นเอง การกำหนดตัวชี้วัดนั้นต้องพิจารณาให้เหมาะสมและรอบคอบ ในขณะเดียวกันต้องมองถึงความเป็นไปได้ในการบรรลุความสำเร็จที่เหมาะสมกับธุรกิจ นโยบายองค์กร ตลอดจนขนาดขององค์กรด้วย

1. กำหนดตัวชี้วัดหลักระดับองค์กร (Organization indicators)

การกำหนดเป้าหมายขององค์กรตลอดจนนโยบายหลักเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่สุดที่แต่ละองค์กรจะต้องทำ เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกฝ่ายและทุกคนในองค์กรปฎิบัติ ตัวชี้วัดระดับองค์กรจะเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าองค์กรนั้นประสบความสำเร็จแค่ไหน

2. กำหนดตัวชี้วัดหลักในระดับหน่วยงาน (Department indicators)

หลังจากมีตัวชี้วัดหลักขององค์กรแล้ว ก็ต้องลงมากำหนดตัวชี้วัดในระดับหน่วยงานย่อยลงมา และต้องให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดหลัก หรือนโบยายขององค์กร ในระดับหน่วยงานนี้แต่ละหน่วยงานอาจจะมีตัวชี้วัดหลักที่ไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายงานและเป้าหมายของหน่วยงานนั้นๆ ด้วย และตัวชี้วัดในระดับหน่วยงานนี้ควรจะต้องมีส่วนช่วยผลักดันให้องค์กรสำเร็จ และต้องเป็นตัวชี้วัดที่เป็นหลักเกณฑ์ให้กับตัวชี้วัดในระดับหน่วยงานย่อย แผนก กลุ่ม หรือรายบุคคลต่อไปด้วย

3. กำหนดตัวชี้วัดในระดับรายบุคคล (Individual indicators)

ตัวชี้วัดระดับรายบุคคลนั้นถึงแม้จะเป็นหน่วยย่อยที่สุดแต่ก็มีความสำคัญที่สุด เพราะบุคคลนี่เองคือฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนองค์กรโดยรวม นอกจากจะวัดประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละคนแล้ว ประสิทธิภาพที่ดียังส่งผลให้ KPI ระดับองค์กรดีขึ้นได้ด้วย แล้วในขณะเดียวกันตัวชี้วัดระดับบุคคลนี้ก็ยังนำไปใช้ประโยชน์ในการพิจารณาอัตราเงินเดือนตลอดจนโบนัสประจำปีเช่นกัน ตัวชี้วัดในระดับบุคคลนี้ควรกำหนดให้สอดคล้องกับ JD (Job Description) ของแต่ละคนด้วย เพื่อให้เป็นเกณฑ์การวัดที่เหมาะสมและดีที่สุด

4. กำหนดตัวชี้วัดรอง (Secondary indicators)

นอกจากตัวชี้วัดหลักซึ่งเป็นการวัดประสิทธิภาพของการทำงานโดยตรงแล้ว เราควรมีตัวชี้วัดรองเพื่อรองรับด้วย ตัวชี้วัดรองนี้อาจไม่เกี่ยวเนื่องกับประสิทธิภาพการทำงานโดยตรง แต่เป็นตัวชี้วัดอีกด้านที่อาจเป็นส่วนเสริมในการพิจารณาประกอบกัน สำหรับหน่วยงานที่มีตัวชี้วัดหลักชัดเจน มีการประเมินค่าออกมาเป็นตัวเลขเพื่อวัดผลได้ อาทิ ยอดขาย กำไร จำนวนการผลิต เป็นต้น 

ตัวชี้วัดรองอาจไม่มีความจำเป็นนัก หรือเป็นปัจจัยในการพิจารณาเพิ่มที่ละเอียดขึ้น แต่สำหรับหน่วยงานที่ไม่อาจมีตัวชี้วัดที่ประเมินค่าเป็นตัวเลขได้ชัดเจน ตัวชี้วัดรองอาจมีส่วนสำคัญ อาทิ หน่วยงานด้านบริการ หน่วยงานสนับสนุน หน่วยงานธุรการ เป็นต้น ซึ่งตัวชี้วัดรองอาจกำหนดในเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ เพื่อเป็นเกณฑ์ที่เหมาะสมกับเนื้องาน เช่น การประเมินความพึงพอใจของลูกค้าที่มีส่วนต่องานบริการ เป็นต้น




ประโยชน์ของ KPI

  1. ประเมินผลและชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานของบุคคลแต่ละตำแหน่ง ว่าสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ได้หรือไม่ หรือควรปรับปรุงอะไร
  2. ชี้วัดความสำเร็จขององค์กรว่าสามารถบรรลุเป้าหมายที่องค์กรวางไว้ได้หรือไม่
  3. ใช้ประเมินผลที่มีประโยชน์ต่อการพิจารณาเพิ่มอัตราจ้างหรือโบนัสประจำปี
  4. วัดผลเพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องแล้วแก้ไข
  5. นำผลมาใช้ในการวางแผนงานตลอดจนแผนการลงทุน ไปจนถึงประเมินงบประมาณในปีหน้าได้
  6. ใช้เป็นเกณฑ์พิจารณาในการตั้ง KPI ในปีถัดไป

ที่มา




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เครื่องกัดแม่พิมพ์เหล็กขนาดเล็กสำหรับงานกัดแม่พิมพ์พระ

สำหรับงานกัดแม่พิมพ์พระ ราคา 180,000.00 บาท พร้อม อบรม ดูแล 1 ปี

คีย์ลัดที่ใช้ในโปรแกรมเขียนแบบ Autocad

การใช้คีย์ลัด จะช่วยให้การเขียนแบบ มีความรวดเร็วขึ้น AR = ARRAY ในแบบกำหนดจำนวนและระยะห่าจากจุดอ้างอิง A = ARC เขียนเส้นโค้ง BR = BREAK ตัดเส้นที่ต่อเนื่องกัน ณ จุดที่เราทำการ break B = BLOCK ทำ block ใหม่ให้กับชิ้นงานที่เขียนขึ้นแล้ว CO,CP = COPY ทำชิ้นส่วนภาพที่เราเลือกไว้ให้สร้างขึ้นมาใหม่ ในลักษณะ เหมือนเดิมทุกประการ C = CIRCLE เขียนวงกลม CH = CHCOLOR เปลี่ยนสี CHA = CHAMFER ตัดมุมของรูปเหลี่ยมต่าง ๆ DT = DTEXT เขียนตัวหนังสือ DB = DIM VASELINE ให้ dimension แบบต่อเนื่องในแนวเส้นแรก DC = DIM CONTINUE ให้ dimension แบบต่อเนื่องในแนวและระดับเดียวกันหมด DV = DIM HORIZONTAL ให้ dimension แบบอยู่ในแนวเส้นราบ DD = DIM DIAMETER ให้ dimension แบบเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลม DS = DIM SCALE ตัวคูณ factor ของขนาดสเกลของ dimension DN = DIM NEWTEXT เปลี่ยน text DM = DIM MOVE การขยับ text ไปมา DAN = DIM ANGULAR วิธีการให้ dimension แบบเส้นโค้งเพื่อแสดงขนาดของมุม DL = DIM LEADER วิธีการให้dimension แบบชี่จุดตำแห่งที่เราต้องการ...

ความรู้เบื้องต้นสำหรับการสร้างงาน 3 มิติ ด้วย Artcam

โปรแกรม Artcam เป็นโปรแกรมออกแบบ งานนูนสูงต่ำ และ สร้าง Code สำหรับควบคุมการกัดงานของ CNC ผู้เขียนขอเล่าประสพการณ์ การเรียนรู้ เกี่ยวกับการทำงาน 3 มิติ นูนสูงต่ำเพื่อเป็นประโยชน์ต่อ สาธารณะชน และ ประกอบการตัดสินใจการจัดซื้อ จัดหา โปรแกรมดังกล่าวใว้ใช้งาน พอสังเขบดังนี้ 1.คุณสามารถ Download ตัวทดลองใช้งาน ได้ตาม Link นี้ 2.คุณสามารถซื้อหา โปรแกรม Artcam ได้ตาม Link นี้    หรือ ติดต่อซื้อได้ที่  http://www.delcam.com/th/ 3.Artcam manual Link การใช้โปรแกรม Artcam ผู้ใช้จะมีความคาดหวังสูงว่า โปรแกรมนี้จะช่วยทำงานออก แบบ3มิติ สำหรับงาน CNC ให้เป็นเรื่องง่าย โดยผู้ใช้ไม่ต้องทำอะไรมาก นั่นเป็นความเข้าใจที่ยังไม่ถูกต้องทั้งหมด  บทความนี้จะอธิบายหลักการการทำงาน ของโปรแกรม Artcam และ การนำไปใช้งาน รวมถึงการ นำข้อมูลจากโปรแกรมอื่น มาใช้งานใน Artcam ด้วยเช่นกัน เทคนิคเหล่านี้ทำได้หลายวิธี ดังนั้นผู้ใช้จำเป็นต้องมีการฝึกฝน ทักษะเบื้องต้นมาก่อน เทคนิคที่1 การเขียน 3D เบื้องต้น จากเส้น Vector ใน Artcam9 ผู้ใช้ จะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับ พื้นฐานเบื้องต้น เรื่อง การสร้าง ...